Pakorn's Blog

Helping you to bring your concepts and ideas to life.

มารู้จัก อาคิโกะ โอเซกิ กันดีกว่า



ชื่อจริง – อาคีโกะ โอเซกิ
วัน / เดือน / ปี เกิด – 8 สิงหาคม พ.ศ. 2534
ส่วนสูง – 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก - 42 กิโลกรัม
การศึกษา – New International School of Thailand ( Years 13)
ดนตรีที่ชอบ – Pop, Hip Hop
ภาพยนตร์ที่ชอบ – ห้าแพร่ง, ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น, แฟนฉัน, A Cinderella Story, Enchanted
กีฬาที่ชอบ – เต้น Girls Hip Hop
งานอดิเรก – เต้น, ฟังเพลง, ดูหนัง, ร้องคาราโอเกะ, ถ่ายรูป, ช็อปปิ้ง
สัตว์ที่ชอบ – สุนัข, กระต่าย
สัตว์ที่ไม่ชอบ – จิ้งจก, ตุ๊กแก, แมลงสาป, มด, งู และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด
อาหารที่ชอบ – อาหารญี่ปุ่น, อาหารอิตาเลียน
หนังสือที่ชอบ – นวนิยายของแจ่มใส
สถานที่ท่องเที่ยว – โตเกียวกับฟูกุโอกะ
ดอกไม้ที่ชอบ – ดอกลิลลี กับดอกกุหลาบ
ผลงานที่ผ่านมา – โฆษณา Mister Donut(Saku Saku), Pizza Company, True Move, ภาพยนตร์เรื่องห้าแพร่ง
ผู้ชายในฝัน – น่ารัก, มีความเป็นผู้นำ(โตกว่านิดหน่อย), ไม่โกหก, จริงใจ และดูแลเอาใจใส่ดี





























เธอน่ารักมากเลยแหละครับ น่ารักสุดๆเลย
ที่สำคัญเธอเป็นลูกครึ่งด้วยนะครับ พ่อเป็นคนญี่ปุ่น แม่เป็นคนไทย เชื้อสายจีนครับ

        'อาคีโกะ โอเซกิ' ปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรกที่หน้าผาแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี ในหนังภาคต่อสุดหลอนที่รวมเอาหนังสั้นจำนวนห้าตอนเข้าไว้ด้วยกันเรื่องนั้น สาวร่างเล็กคนนี้โผล่ออกมาในตอนที่สาม แม้หัวใจของหลายคนจะถูกฉาก บรรยากาศ และเรื่องราวในสองตอนก่อนหน้าเร้าให้กระเจิดกระเจิงขนาดไหน แต่หน้าตาที่น่ารักในสไตล์สาวญี่ปุ่นกับน้ำเสียงอันแสนอาโนเนะของผู้หญิงคน นี้ ก็ทำให้หัวใจ(ของหนุ่มๆ)เตลิดไปไกลยิ่งกว่า
    
       
แต่ หลายคนอาจจำไม่ได้ว่า ได้เห็นอาคีโกะเป็นครั้งแรกจริงๆ ในภาพยนตร์โฆษณาโดนัทยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งผลจากการยื่นเท้าเข้าไปทำงานในวงการบันเทิงเป็นครั้งแรกนั้น ทำให้เธอมีโอกาสพบกับ 'ยูกิ ทานากะ' หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นซึ่งกลายมาเป็นตัวเชื่อมที่ทำให้เธอได้เข้าไปแสดง ภาพยนตร์เรื่องห้าแพร่ง
    
       "ยูกิเขาต้องไปแคสติ้ง แล้วตอนที่แคสติ้งก็ต้องแคสติ้งคู่กับผู้หญิงญี่ปุ่นอีกคน ซึ่งพี่เขานัดเวลามา แล้วยูกิเขาไปตามเวลาที่เขานัดไม่ได้ ยูกิก็เลยขอเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นแทน คือเวลาไม่ตรงกัน ยูกิถามว่า ห้าโมงได้ไหม เขาบอกว่าไม่ได้ ไม่มีคู่แล้ว เพราะผู้หญิงคนนั้นจะกลับญี่ปุ่นแล้ว ยูกิเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพาคู่ไปเองได้ไหม เขาถามว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นใช่ไหม ยูกิก็บอกว่า ใช่"
    
       ถึงจะมีชื่อและนามสกุลเป็นภาษาญี่ปุ่น มีใบหน้าไปทางคนญี่ปุ่น และพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องปร๋อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาคีโกะมีเชื้อสายความเป็นไทยผสมอยู่ถึงเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะเธอมีคุณพ่อเป็นชาวอาทิตย์อุทัย และมีคุณแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ทำให้อาคีโกะสามารถพูดได้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย รวมไปถึงสามารถอ่าน และเขียนภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย
    
       "อาคีโกะพูดภาษาไทยได้ แต่ด้วยความที่ไม่ได้เรียนภาษาไทยตั้งแต่ตอนเด็กๆ เราก็เลยพูดได้อย่างเดียว เขียน อ่านไม่ได้ เพิ่งจะมาเขียนได้ อ่านได้ ตอนที่โตมาหน่อยนึง สักประมาณ ป.สามน่ะค่ะ"
    
       ในยุคที่เด็กไทยจำนวนไม่น้อยคลั่งไคล้ความเป็นญี่ปุ่น สาวลูกครึ่งญี่ปุ่น – ไทย ที่ยอมรับว่าตัวเองมีสองสัญชาติผสมผสานกันอยู่อย่างลงตัว กลับมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่เธอเกิด ซึ่งเธอจะกลับไปเยี่ยมเยียนญาติๆ และท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นบ้างเป็นครั้งคราว
    
       "อาคีโกะรู้สึกว่าตัวเองเป็นทั้งสองน่ะค่ะ(ทั้งญี่ปุ่นและไทย) ช่วงเด็กๆ จะเน้นไปทางญี่ปุ่นมากกว่า แต่พอโตมาก็เหมือนจะเน้นมาทางด้านไทยมากกว่า แล้วด้วยความที่จะถูกคุณแม่กับพี่เลี้ยงเลี้ยง เขาก็จะสอนเราเรื่องมารยาท ว่า เวลาเจอผู้ใหญ่ก็ควรที่จะยกมือไหว้ แล้วเวลาพูดก็ควรที่จะต้องมีหางเสียงน่ะค่ะ
    
       "เรื่องการเลี้ยงดูอื่นๆ ก็(หยุดคิด)จะไทยก็ไม่ไทย จะญี่ปุ่นก็ไม่ญี่ปุ่นน่ะค่ะ คุณพ่อเขาก็ไม่ได้มาเลี้ยงเรามากอยู่แล้ว เพราะเขาต้องทำงาน ถ้าอยู่ที่บ้านก็อยู่กับคุณแม่ อยู่กับพี่เลี้ยง แล้วอยู่ที่บ้านหนูก็พูดภาษาญี่ปุ่นกับพ่อ พูดภาษาไทยกับแม่ ซึ่งเด็กๆ แทบทุกคนจะเรียนรู้เร็วน่ะค่ะ อาจจะมีสับสนตอนพูดบ้างนิดหน่อย แต่ก็ โอเคค่ะ"
    
       ถ้าจะมีสิ่งใดที่ทำให้อาคีโกะรู้สึกไม่ค่อยถูกใจนักสำหรับการพำนัก อยู่ในประเทศไทย ก็คงเป็นเรื่องของอากาศที่ร้อนอ้าวกับพื้นผิวบาทวิถีที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการ เดิน
     
       "เมืองไทยสะดวกสบายดีค่ะ แต่ว่าร้อนไปหน่อย(หัวเราะ) แล้วก็ไม่ชอบถนนค่ะ ถนนเมืองไทยมันไม่ดีน่ะค่ะ พื้นตรงฟุตบาทมันสกปรก แล้วก็ไม่เรียบน่ะค่ะ ไม่ชอบตรงนั้น เดินเยอะๆ แล้วรองเท้าจะเสียได้ค่ะ(หัวเราะ)"
    
       สำหรับคนที่อยากจะลองไปหาประสบการณ์ชีวิต หรือพักผ่อนหัวใจในประเทศญี่ปุ่น สาวลูกครึ่งผู้ที่มีเลือดซามูไรอยู่ในกายคนนี้ภูมิใจนำเสนอสองจังหวัดที่เธอ ชื่นชอบ ดังนี้
    
       "โตเกียวค่ะ โตเกียวเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น ก็เหมือนกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองหลวงของไทยน่ะค่ะ หนูชอบไปชิบูย่าน่ะค่ะ มันเป็นแหล่งที่ใหญ่มากๆ เลยค่ะ พวกวัยรุ่นเขาจะไปกันน่ะค่ะ แล้วก็จะมีสี่แยกที่ใหญ่มากๆ (ชื่อสี่แยก ฮะจิโคะ ซึ่งเป็นชื่อของสุนัขที่มีเรื่องเล่าว่ามันมารอเจ้าของอยู่บริเวณนั้นเป็น เวลานานหลายปี โดยไม่รู้ว่าเจ้าของของมันได้เสียชีวิตไปแล้ว บริเวณนั้นจะมีรูปปั้นหมาอยู่ เป็นจุดนับพบที่นิยมมาก) แล้วพอเขามีสัญญาณไฟให้คนเดินที ทั้งสี่ทางก็จะเดินมา ปรี๊ด พร้อมกัน เยอะมาก แล้วก็มีของเยอะมากค่ะ ชอบ(ยิ้ม)
    
       "แล้วที่โตเกียวก็ยังมีโตเกียวโดม ซึ่งมีสวนสนุกด้วยค่ะ แล้วก็มีภูเขาฟูจิค่ะ ที่อยู่ใกล้ๆ โตเกียวด้วย (ภูเขาฟูจิอยู่ในเขตของจังหวัดชิซึโอกะ) ก็ต้องลองไปดูนะคะ(ยิ้ม)
    
       "ส่วนอีกที่หนึ่งคือ ฟูกุโอกะ ที่ไปก็เพราะเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อน่ะค่ะ ที่ฟูกุโอกะมีราเมงอร่อยค่ะ (ยิ้ม) อร่อยมากค่ะ พูดแล้วนึกถึงเลย(ทำตาเป็นประกาย) ฟูกุโอกะอยู่ทางภาคใต้ค่ะ เป็นเกาะทางใต้ มีแดด แต่ไม่ได้ร้อนแบบ เฮ้อ(ทำเสียงร้อน) ไม่ได้ร้อนแบบแห้งๆ เหนอะหนะๆ ถึงมันจะร้อนแต่มันก็ยังมีลมนิดนึงค่ะ แล้วที่นั่นก็มีที่ช็อปปิ้ง ชื่อ ฮากาตะ ด้วยค่ะ"
    
       เพียงหกชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ก็จะเข้าสู่เขตของประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อถึงเวลานั่งเครื่องบินกลับมาประเทศไทย อาคีโกะก็มักจะมาแวะช็อปปิ้งและเดินเล่นที่สยามสแควร์ ย่านที่ทำให้โมเดลลิ่งมาพบกับเธอเมื่อปีก่อน
    
       แต่ถ้าไม่ใช่แหล่งรวมของวัยรุ่นในกรุงเทพฯ แห่งนี้แล้วล่ะก็ สถานที่หนึ่งที่สาวร่างเล็กใฝ่ฝันจะไปเยือนก็คือ อำเภอเล็กๆ ในม่านหมอก ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน
    
       "อยากไปปายค่ะ ที่แม่ฮ่องสอน อยากไป เพราะว่าเคยไปทัศนะศึกษากับโรงเรียน แต่ว่าไปที่เชียงดาว ซึ่งปายก็อยู่ใกล้ๆ กันใช่ไหมคะ ที่เชียงดาวหนูประทับใจมาก เพราะตอนกลางคืน ดาวเต็มท้องฟ้าเลย สวยมาก เลยอยากลองไปปายดู คิดว่าน่าจะเหมือนที่เชียงดาว เห็นดาวเยอะๆ เหมือนกันค่ะ"
    
       พูดภาษาญี่ปุ่นกับคุณพ่อ พูดภาษาไทยกับคุณแม่ และพูดทั้งสองภาษาในชีวิตจริง คือวิถีชีวิตของอาคีโกะ บนโลกที่หลากหลายใบนี้ ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ตกอยู่ในสถานะของการปะทะสังสรรค์ระหว่างสองวัฒนธรรม (หรืออาจจะมากกว่านั้น) หากให้นั่งนิ่งๆ แล้วพิจารณาตัวเอง อาคีโกะก็ยิ้มแล้วบอกว่า เธอรู้สึกดีกับการเป็นลูกครึ่งแบบนี้
    
       "ก็ภูมิใจนะคะ เพราะถ้าเป็นแค่ชาติเดียวมันก็จะได้ รับรู้ของแค่ชาติเดียวใช่ไหมคะ แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกครึ่ง เราก็จะได้รับรู้วัฒนธรรมของทั้งสองชาติน่ะค่ะ ซึ่งก็ดีน่ะค่ะ เพราะวัฒนธรรมก็แตกต่างกัน เราจะได้รู้ว่าวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างไร วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นอย่างไร รู้ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร หรือเหมือนกันอย่างไร"
    
       นักท่องเที่ยวสาวจากห้าแพร่งทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นไหว้ แล้วกลับไปใช้ชีวิตท่ามกลางการกอดกลืนกันระหว่างสองวัฒนธรรมต่อไป

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ
    Said

    น่ารักดีคับ....ชอบมากๆๆๆๆ

    23 กุมภาพันธ์, 2553 12:21
  2. ไม่ระบุชื่อ
    Said

    ชอบถึงชอบมากๆ น่ารักครับ ผมมันชองญี่ปุ่นอยู่แล้วนิ

    23 เมษายน, 2553 20:57
  3. ไม่ระบุชื่อ
    Said

    ชอบอาคิโกะ มากค่ะ ดูเป็นผู้หญิงนิสัยดี แสดงหนังก็เก่ง ถ้าเป็นไปได้อยากให้แสดงภาพยนต์ไทยอีกสักเรื่องหนึ่งค่ะ

    09 มิถุนายน, 2553 14:58

แสดงความคิดเห็น

 
Related Posts with Thumbnails