Pakorn's Blog

Helping you to bring your concepts and ideas to life.

ลาวกระทบไม้ (รำกระทบไม้)


เรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง (ลาวกระทบไม้)

"รำกระทบไม้" เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวจังหวัดสุรินทร์ เดิมเรียกว่า "เต้นสาก" ประเทศไทยมีอาชีพทางกสิกรรมมาช้านาน การทำนาผลิตข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย และทำรายได้เป็นสินค้าออกให้แก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่จึงคลุกคลีอยู่กับการทำนา เริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ ดำ และเก็บเกี่ยว เป็นต้น ด้วยนิสัยรักสนุก หลังจากเลิกงาน จึงนำสากตำข้าวมากระทบกันเป็นเครื่องประกอบจังหวะ พร้อมกับมีการละเล่นให้เข้ากับจังหวะ แต่เดิมคงเป็นจังหวะตำข้าวในลักษณะยืนตำ
2 คน ต่อมาจึงลากไม้สากมาวางตามยาว มีคนจับปลายสาก หัว ท้าย ข้างละคน พร้อมทั้งใช้ไม้หมอนรองเคาะเป็นจังหวะ
ภายหลังกรมศิลปากรได้ศึกษาการละเล่นชนิดนี้ และนำมาปรับปรุงจัดระเบียบแบบแผนเรียงลำดับท่ารำขึ้น โดยไม่ทิ้งเค้าแบบแผนเดิม และได้นำออกแสดงเป็นครั้งแรก เมื่อพ.ศ.2500 เนื่องในงานแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมกับราชอาณาจักรลาว
ในการปรับปรุงครั้งนั้น เนื่องจากบทร้องของเก่าไม่เหมาะสมที่จะรำได้สวยงาม กรมศิลปากรจึงได้ขอให้อาจารย์มนตรี   ตราโมท แต่งบทร้อง และท่านผู้หญิงหม่อม แผ้ว   สนิทวงศ์เสนีย์ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่

เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการรำ นอกจากไม้เคาะจังหวะประกอบการร่ายรำแล้ว ปัจจุบันนี้
กรมศิลปากรได้นำวงปี่พาทย์เครื่องห้า  วงปี่พาทย์เครื่องคู่  บรรเลงลำนำ  ทำนองเพลงให้ไพเราะด้วย

การแต่งกาย
แต่งได้ 2 แบบ คือ
1. การแต่งกายแบบพื้นเมือง
  • ชาย นุ่งโจงกระเบน  สวมเสื้อคอกลม  แขนสั้น  มีผ้าคาดเอว  และผ้าคาดไหล่
  • หญิง นุ่งผ้าซิ่นป้ายข้างยาวกรอมเท้า  สวมเสื้อแขนกระบอก  คอปิดห่มสไบทับเสื้อ  ปล่อยผมทัดดอกไม้  สวมเครื่องประดับพองาม  มีสร้อยคอ  ต่างหู
2. การแต่งกายแบบกรมศิลปากร
  • ชาย นุ่งกางเกงขาสามส่วน  หลากสี  วามเสื้อคอกลม  มีผ้าคาดเอว  และผ้าโพกศีรษะ
  • หญิง นุ่งซิ่นมีเชิง  ป้ายข้างยาวกรอมเท้า  สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือคอปิด ห่มสไบเฉียง  เข็มขัดทับเสื้อ  สวมสร้อยคอ  และต่างหู  ปล่อยผมทัดดอกไม้

การกระทบไม้ แต่เดิมวางไม้สากตามความยาว 2 อัน ให้ไม้หมอนรองหัวและท้ายไม้ทั้ง 2 ด้าน ปลายสากจะมีคน 2 คน จับปลายเพื่อกระทบกัน ภายหลังกรมศิลปากรปรับปรุง และจัดลำดับท่ารำให้เป็นระเบียบขึ้นแต่ยังคงรักษาเค้าแบบแผนเดิม โดยปรับ ปรุงเป็นไม้ไผ่ 2 ลำ ขนาดเท่ากันยาวประมาณ
2 - 4  เมตร และใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นหมอนวางรองทั้งสองปลาย ผู้กระทบนั่งกับพื้นจับปลายทั้งสองคนเพื่อจะได้ตีกระทบกัน

การเคลื่อนไหวตามจังหวะกระทบไม้
เสียงกระทบไม้
           กึง เป็นเสียงที่ไม้อยู่ห่างกัน กระแทกลงตรงๆ บนไม้ที่รอง
           ก๊อก เป็นเสียงที่ไม้ทั้งสองตีกระทบเข้าหากัน
จังหวะกระทบไม้จะเป็นจังหวะ 8 จังหวะ แล้วย้อนกลับไปใหม่เรื่อยๆ ดังนี้

     จังหวะที่
1
2
3
4
5
6
7
8
    จังหวะไม้
ชิด
ห่าง
ห่าง
-
ห่าง
ห่าง
ชิด
-

วิธีเล่นกระทบไม้
  1. วางไม้ไผ่ตันไว้กับพื้นให้ห่างกันพอที่จะวางไม้ไผ่สีสุกลง แล้วเหลือปลายไว้ใช้จับประมาณ 2 คืบ 
  2. ผู้เล่น ( 2 คน ) จับไม้ยาวเคาะเป็นจังหวะ โดยรั้งให้ไม้ยาวมากระทบกัน 1 ครั้ง แล้วจึงยกไม้ยาวแยกห่างกันออก เคาะไปที่ไม้สั้น 2 ครั้ง สลับกันไปตามจังหวะเพลง ช่วงระยะเคาะไม้สั้นจะเว้นช่องว่างระหว่างไม้ยาวประมาณ ครึ่งศอก เพื่อให้ผู้รำชาย - หญิง ได้หย่อนเท้าก้าวลงไปในช่องนั้น แล้วยกออกตามจังหวะเพลงได้อย่างสวยงาม และถ้าผู้รำเผลอก้าวพลาดผิดจังหวะ ไม้ไผ่คู่นั้นจะกระทบเท้าผู้รำทันที 
    การเล่นจังหวะกระทบไม้ ถ้าทำท่ารำประกอบ
    ก็จะทำให้เกิดความสวยงามที่เป็นการแสดงพื้นเมือง และในการแสดงจะมีเนื้อร้องเพื่อแสดงภาษาท่ารำก่อนจะเข้าไม้  ที่เรียกว่า "รำลาวกระทบไม้"

    บทร้อง เพลงลาวกระทบไม้
        บทร้องโดย  :  อาจารย์มนตรี   ตราโมท

    แสงรัชนี ส่องสีนวล                                    ( ลา ล่า ลา ล่า ลา ลา ล้า ล่า ลา ล่า ลา ลา  )
    ชื่นใจชวน ยั่วยวนใจชม อภิรมย์เริงใจ
    เคล้าคู่กันไป ฟ้อนกรายร่ายรำ                       ( ล่า ลา ล่า ลา ลา ล้า ล่า ลา ล่า ลา ลา  )
    หนุ่มวอนกลอนกล่าว เว้าสาวหวานฉ่ำ
    จันทร์งามยามค่ำ เป็นสายนำดวงใจ
    ยามเดือนลอยเด่น เหมือนดั่งเป็นใจให้
    สาวหนุ่มพรอดกัน กรีดกรายร่ายรำสำเริงรื่น
    แสนชื่นชอบเชิง  เริงรำทำกางกั้น
    สับเปลี่ยนเวียนผัน กันสำราญ
    ร่ายรำท่ามกลางแสงเดือนเด่น                       ( ล่า ลา ล้า ลา ลา ล่า )
    เยือกเย็นน้ำค้างช่างซาบซ่าน
    สาวรำนำหนุ่มชุ่มชื่นบาน ต่างสุขศานติ์แสนงาม ยามค่ำคืน

    ข้อมูลประกอบจาก gotoknow.org

    Download: PDF

    TOT 3G กับผลประโยชน์การเมืองที่ไม่ลงตัว


           ทีโอที กำลังกลายเป็นเหยื่อการเมืองครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ เพราะมากจนนับไม่ไหว ในการเข้ามาแสวงผลประโยชน์ของการเมือง ด้วยการใช้รูปแบบสงครามตัวแทนผ่านกรรมการบอร์ด ทำมาหากินจากงานประมูลต่างๆ ทั้งโครงการขนาดใหญ่และเล็ก ที่ทุกวันนี้แทบจะรู้ล่วงหน้าว่าใครจะชนะประมูล เพราะฮั้วกันนอกรอบเรียบร้อย
         
           ถ้าได้บริษัทดีมีจิตสำนึก ก็จะทำงานเสร็จเรียบร้อยส่งมอบทันเวลา แต่ถ้าได้บริษัทชั้นเลว ดีแต่เสนอตัวเลขสูงๆให้การเมือง พอได้งานก็มักจะพบว่างานไม่เสร็จ หรือตัดเนื้องาน หรือส่งมอบอุปกรณ์ไม่ตรงตามสเปก อาศัยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ตรวจรับโครงการ บางทีซื้อมาใช้ไม่ได้ หรือไม่ได้ใช้ ท้ายสุดทำให้องค์กรเสียหายมานักต่อนัก
         
           สำหรับ โครงการ 3G ของทีโอที ที่กำลังจะเปิดบริการในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ด้วยคอนเซ็ปต์การตลาดแบบใหม่อย่างการให้เอกชนมาเช่าโครงข่ายแล้วทำตลาดหรือ Mobile Virtual Network Operator (MVNO) กำลังเป็นที่จับตามองของตลาดมากว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
         
           ในมุมมองของ MVNO ทั้ง 5 รายไม่ว่าจะเป็นสามารถ ไอ-โมบาย, ล็อกซเล่ย์, 365, เอ็ม คอนซัลต์ และไออีซี ต่างเห็นว่าแค่จำนวน 2-3 หมื่นเลขหมายในช่วงแรกไม่น่าจะพอทำตลาด เพราะ MVNO ทั้ง 5 รายเปรียบเหมือนแม่ทัพการตลาด 5 คนช่วยกันขายช่วยกันทำตลาด แต่ละรายมีจุดแข็งที่ต่างกัน น่าจะเป็นประโยชน์กับทีโอทีอย่างมาก ซึ่งทีโอทีควรมีแผนขยายเน็ตเวิร์กให้ทั่วประเทศและขยายความสามารถรองรับของ ระบบ(Capacity) ในลักษณะที่เติบโตไปด้วยกัน
         
           แต่กลายเป็นว่าทีโอที ซึ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยกำลังถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลังประสานเสียงเตะสกัดแผนขยายโครงข่าย 3G ทั่วประเทศของทีโอที
         
           โดยนายอภิสิทธิ์ต้องการให้ทีโอทีชะลอการลงทุนโครงการ 3G ทั่วประเทศของทีโอทีไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจนในการประมูลใบอนุญาต 3G ของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
         
           ในขณะที่นายกรณ์ต้องการให้มีการแปรสัญญาสัมปทานของบริษัทเอกชนก่อน ที่กทช.จะประมูลใบอนุญาต 3G เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และเห็นว่าหากไม่มีการแปรสัญญาสัมปทานแล้วกทช.ประมูลใบอนุญาต 3G จะทำให้รัฐเสียหายนับแสนล้านบาท
         
           นัยครั้งนี้เหมือนประสานเสียงถามว่าไก่กับไข่ใครเกิดก่อนกัน ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วไม่มีคำตอบ
         
           เพราะประการแรกกทช.แจ้งให้ทราบแล้วว่าการขยายโครงข่าย 3G ทีโอทีไม่เกี่ยวข้องกับการประมูลใบอนุญาต 3G ของกทช. ประการที่สองการแปรสัญญาจำเป็นต้องให้คู่สัญญาด้านเอกชนเห็นชอบด้วย รัฐไม่สามารถทุบโต๊ะตามใจชอบได้ เพราะไม่เช่นนั้นการแปรสัญญาน่าจะเสร็จเรียบร้อยมานานแล้ว
         
           แม้กระทั่งเอกชนคู่สัญญาอย่างเอไอสกับดีแทค ยังเห็นว่าการแปรสัญญากับการประมูลใบอนุญาต 3G เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ควรนำมาผูกกัน โดยเอไอเอสเสนอแนวทางแปรสัญญาที่สนใจคือการเปลี่ยนทรัพย์สินให้เป็นทุน เสนอให้ทีโอทีเข้ามาถือหุ้นได้สูงสุดถึง 30% เพียงแต่เอไอเอสต้องประมูลได้ใบอนุญาต 3G จากกทช.ก่อน รวมทั้งทรูมูฟก็ยังเห็นว่าการแปรสัญญาสามารถทำคู่ไปกับการประมูล 3G ได้
         
           “การ แปรสัญญาสัมปทานกับการประมูลใบอนุญาต 3G เป็นคนละเรื่องกัน การที่รัฐบาลพยายามจะให้มีการแปรสัญญาให้แล้วเสร็จก่อนมีการประมูลใบอนุญาต 3G นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเนื่องจากการแปรสัญญาไม่สามารถทำได้เพราะที่ ผ่านมามีความพยายามทำเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปีแล้วหากรัฐต้องการผลักดันจริงๆควรดำเนินการเรื่องการแปรสัญญากับการออกใบ อนุญาตใหม่ควบคู่กันจะดีกว่า” นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารเอไอเอสกล่าว
         
           “การแก้สัญญาสัมปทานมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะ เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดมาเป็นระยะเวลานานมากแล้วเป็น 10 ปี ดังนั้นการแปรสัญญาภายในระยะเวลาอันสั้น หรือภายในระยะเวลาที่สัญญาสัมปทานยังเหลืออยู่เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นรัฐบาลควรแยกเรื่องสัญญาสัมปทานออกเป็น 2 เรื่อง จากการประมูลใบอนุญาต 3G เพราะทั้ง 2 เรื่องไม่ใช่เรื่องเดียวกัน” ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทคกล่าว
         
           “ต้อง การให้ภาครัฐเร่งการแปรสัญญาควบคู่ไปกับการประมูลใบอนุญาต3G ไม่ใช่รอให้มีการแปรสัญญาให้เสร็จก่อนซึ่งการแปรสัญญาภายใต้กฎหมายประกอบการ กิจการโทรคมนาคม คู่สัญญาสัมปทานสามารถเจรจาและตกลงยินยอมที่จะยกเลิกสัญญาสัมปทานได้ โดยการแปรสัญญาอาจจะใช้รูปแบบเปิดให้เอกชนเช่าใช้โครงข่ายเดิมด้วยต้นทุนที่ เหมาะสม หรือเปลี่ยนทรัพย์สินให้เป็นทุน หรือการแปรทรัพย์สินเป็นเงิน แต่ควรจะเปิดโอกาสให้เอกชนผ่อนจ่ายแทนการเรียกเก็บเพียงครั้งเดียว ซึ่งรูปแบบจะเป็นการทำสัญญาฉบับใหม่ หรืออาจจะเป็นการเช่าโครงข่ายแทนและผู้ประกอบการจะต้องจ่ายค่าเช่าโครงข่าย ให้แก่ผู้ให้สัมปทานก็ได้” ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าว
         
           ความต้องการของนายกฯและรมว.คลังในเรื่องนี้ คือ การยื้อเรื่องซื้อเวลาไปมา พายเรือวนในอ่าง
         
           ว่ากันว่าการที่ทีโอทีเป็นเหยื่อการเมืองครั้งนี้ เป็นเพราะมีกระบวนการตกลงเกี้ยเซี๊ยะไปเรียบร้อยแล้ว แต่เป็นคนละขั้วกับนายอภิสิทธิ์กับนายกรณ์ รวมทั้งยังมีบางส่วนตกไปยังนายพ.ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงเพื่อแผ่นดิน ทำให้นายกฯไม่พอใจอย่างมาก
         
           ประกอบกับตัวแทนทุนการเมืองที่ดูแลสภาพัฒน์ฯ มีแนวโน้มที่จะเตะสกัดแผนธุรกิจของทีโอทีให้ล่าช้าออกไป หลังรมว.คลังมาตั้งข้อสังเกตว่าทีโอทีจะลงทุนโครงข่าย 2 หมื่นล้านแต่ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจแบบขายส่งหรือขายปลีก เพราะทุนการเมืองเชื่อว่ายิ่งทีโอทีวางโครงข่าย 3G ทั่วประเทศล่าช้าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทตัวเองเนื่องจากยังไม่มีใบอนุญาต 3G เหตุผลทั้ง 2 ส่วนถูกโยงมารวมกันทำให้เชื่อว่า หากรัฐบาลชุดนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทีโอทีก็ไม่น่าจะมีโอกาสขยายโครงข่าย 3G ทั่วประเทศได้
         
           เพราะไม่ใช่เหตุผลทางธุรกิจ ที่ทีโอที ไม่มีปัญญาทำตลาดบริการ 3G ของตัวเองได้ แต่เป็นเพราะการเมืองจะทำให้ 3G ทีโอที เฉาตายซ้ำอดีตไทยโมบายมัดตราสังวันนี้ก่อนที่จะเผาวันหน้า

    ข้อมูลและภาพประกอบจาก Manager Online

    สังคมมะกันล่มสลาย! คนรวยแค่หยิบมือ คนจนหมดปัญญาหาหมอ

    "15สัญญาณ"สังคมมะกันล่มสลาย! คนรวยแค่หยิบมือ คนจนหมดปัญญาหาหมอ บริษัท"ขายปืน"กำไรเพียบ

    เว็บไซต์ www.alternet.org แม็กกาซีนออนไลน์ของสหรัฐ ได้เผยแพร่บทความน่าสนใจ หัวข้อ "15 สัญญาณบ่งชี้สังคมอเมริกัรกำลังจะแตกสลาย" เขียนโดนนายเดวิด เดโกรว ซึ่งระบุว่า กลุ่ม คนที่ร่ำรวยทางเศรษฐกิจในสหรัฐ คือ ตัวการสำคัญในการทำร้ายสังคมอเมริกัน ซึ่งเริ่มแก้ไขได้ลำบากมากขึ้นทุกขณะ หลายคนอาจไม่ได้รับรู้เรื่องนี้จากสื่อกระแสหลัก แต่ผลการชีวัดทางสังคม สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวชี้วัดดังกล่าวสามารถแยกออกเป็น 15 สัญญาณอันตราย ดังนี้

    1) ความไม่เสมอภาคและขาดสมดุลในด้านความมั่งคั่งของชาวสหรัฐ ได้พุ่งพรวดสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ในปัจจุบันสหรัฐเป็นประเทศผู้นำทางอุตสาหกรรมที่ขาดสมดุลในด้านนี้สูงที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ช่องว่างของจำนวนคนรวย และคนชั้นกลางคนจนได้แตกต่างมากขึ้นอย่างมาก

    2) กรณี ที่ตลาดหุ้นพุ่งสูงเกินกว่า 10,000 จุด ในเวลาอันรวดเร็วเพียง 13 เดือน ส่งผลให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ 3 แห่งคว้าผลประโยชน์จากการจากผู้เสียภาษี และได้ประโยชน์อย่างมากจากการที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินให้เงินช่วยเหลือแก่ ธุรกิจที่ล้มเหลว ซึ่งธนาคารเหล่านี้ได้สร้างสถิติใหม่ทางเศรษฐศาสตร์ เพราะสามารถยให้โบนัสพนักงานเป็นจำนวนเงินสูงถึง 30 พันล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 60 %

    สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า "โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนากรอันดับหนึ่งของสหรัฐสามารถสร้างกำไรได้แล้วเพียงแค่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี แถมยังสามารถสำรองเงินชดเชยสำหรับการใช้จ่ายได้อีกถึง 16.7 พันล้านเหรียญ"

    โกลด์แมน แซคส์ จึงกลายเป็นวาณิชธนากร ที่สามารถขยับขยายและเติบโตได้ที่สุดในประวัติศาสตร์

    3) กำไรของกลุ่มคนที่ร่ำรวยถูกค้ำประกันจากผู้เสียภาษีตาดำๆ ในมูลค่าสูงถึง 23.7 แสนล้าน แสดงให้เห็นว่าขณะที่กลุ่มคนร่ำรวยไต่ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แต่ชนชั้นกลางกลับกำลังเริ่มล้มลง

    4) คนทำงานในช่วงอายุระหว่าง 55 - 60 ปี ซึ่งทำงานมานานถึง 20 - 29 ปี ได้สูญเสียเงินในกองทุนเงินเก็บออมสำหรับใช้หลังเกษียณการทำงานโดยเฉลี่ย 25 % ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ชาวอเมริกันที่ร่ำรวย 400 คนยังรวยขึ้นไปอีกถึง 30 พันล้านเหรียญ ซึ่งจากจุดนี้ทำให้คน 400 คนดังกล่าวมีทรัพย์สินรวมกันมากถึง 1.57 แสนล้านเหรียญ

    5) จำนวนบ้านที่ถูกที่จำนองพุ่งสูงขึ้นสุดขึดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 โดยเริ่มย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ไตรมาสแรก เชื่อหรือไม่ว่า มีบ้านทั้งหมด 937,840 หลังที่ถูกจำนอง ขณะที่บ้านอีก 3.4 ล้านหลังมีโอกาสสูงมากที่จะถูกจำนองในช่วงปลายปีนี้ แถมนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า สำหรับปี 2553 เรื่องบ้านถูกจำนองจะแย่ลงไปกว่านี้อีก

    นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐออกกฎหมายตั้งกองทุนสำหรับผู้เสียภาษี ในวงเงิน 75 พันล้านเหรียญ ซึ่งผลปรากฎออกมาว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วัดได้จากจำนวนบ้านที่ถูกจำนอง ซึ่งพิสูจน์ชัดว่ากฎหมายดังกล่าวทำให้ต้องเสียเงินภาษีของประชาชนกว่าเป็น พันๆ ล้านเหรียญไปฟรีๆ

    6) ประชาชนอเมริกันกว่า 25 ล้านคนไม่มีงานทำหรือได้ทำงานแบบไม่เต็มเวลา ซึ่ง แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีประชาชน 25 ล้านคนที่ต้องการเพิ่มรายได้ แต่กลับไม่มีทางเลือก อัตราการว่างงานคาดว่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคตและจะยังคงสูงต่อไปอีกหลายปี

    7) ล่าสุดธนาคารสหรัฐถึง 123 แห่งล้มเหลวลงไปในปีนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ธนาคาร 3 คนซึ่งทางการระบุว่ามีความเข็มแข้งต้องปิดกิจการลง

    8) การล้มละลายพุ่งทะลุความคาดหมาย รัฐ 10 แห่งร่อแร่ใกล้ล้มละลาย บางรัฐถึงขั้นประกาศว่าเกิดวิกฤตการเงิน รัฐแคลิฟอร์เนีย, อาริโซน่า, ฟลอริดา, อิลลินอยส์, มิชิแกน, เนวาดา, นิว เจอร์ซีย์, โอเรกอน, โรด ไอส์แลนด์ และวิสคอนซิน กำลังตกอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างก็พยายามแก้ด้วยวิธีง่ายๆ อย่าง การขึ้นอัตราภาษีและการลดจำนวนข้าราชการ

    9) ทุกอย่างนี้อาจเกิดขึ้นจากใช้งบประมาณแบบขาดดุล จำนวน 1.4 แสนล้านเหรียญ ซึ่งนับกว่ามากกว่างบประมาณปีที่ผ่านมาหลายแสนเหรียญ สรุปแล้วสหรัฐมีหนี้สูงจำนวน 12 แสนล้านเหรียญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หนี้จำนวนนี้เริ่มเยอะใกล้ถึงจุดลิมิตตามกฎหมาย ที่กำหนดไว้ที่ 12.104 แสนล้านเหรียญ หมายความว่าสภาคงต้องออกกฎหมายปรับเพดานลิมิตให้สูงขึ้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปได้

    10) แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปรับแต่งตัวเลขความยากจนให้ดูต่ำจากความเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชน 47.4 ล้านคนต้องอยู่อย่างยากแค้น นอกจากนี้ จำนวนคนยากจนของสหรัฐยังมีอัตราสูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมเหมือนกัน คาดการณ์ได้เลยว่า จำนวนคนไร้บ้านจะเพิ่มขึ้นอีกมาก อย่างเมื่อปีที่แล้วก็มีคนไร้บ้านมากถึง 3 ล้านคน

    11) วิกฤตเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเด็กๆ ทั้งนี้ เฉลี่ยแล้วเด็กอเมริกันประมาณ 50 % ต้องใช้แสตมป์แลกอาหารประทังชีพ ความอดอยากเป็นสิ่งคุกคามสหรัฐตัวสำคัญ หนังสือพิมพ์นิว วอชิงตัน โพตส์ รายงานว่า "วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ทำให้จำนวนชาวอเมริกัน ที่มีอาการบริโภคไม่เพียงพอเพิ่มขึ้น คิดไม่ถึงเลยจริงๆ มันเหมือนกับว่า เรากำลังอาศัยอยู่ในประเทศโลกที่สาม"

    12) ปี 2552 จำนวนประชาชนสหรัฐ ที่ยากในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เพิ่มขึ้นเป็น 46.3 ล้านคน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการตกงานและไร้งานทำ

    13) การที่ไม่มีเงินจ่ายประกันสุขภาพเป็นสาเหตุให้ประชาชนราว 45,000 คนต้องเสียชีวิตเมื่อปี 2551 มีรายงานข่าวระบุว่า 2 ใน 3 ของการล้มละลายเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ และแม้บางคนมีปัญญาจ่ายประกันสุขภาพ ก็ยังต้องเผชิญปัญหากับจำนวนเงินในกระเป๋า หากเจ็บป่วยจากโรคที่ร้ายแรง ขณะที่เด็กอีกกว่า 17,000 คนต้องเสียชีวิตลง เพราะขาดการดูแลทางการแพทย์ที่ดีพอ

    14) อุตสาหกรรมผลิตปืนและลูกกระสุนในสหรัฐกลับโตขึ้นอย่างสวนทาง เห็นได้ จากบริษัทขายสินค้าดังกล่าวกว่า 100 แห่ง ทำเงินได้หลายพันล้นเหรียญในเวลาเพียง 1 ปี สืบเนื่องจากความต้องการปืนและลูกกระสุนได้ทะยานขึ้นสูงมาก แต่บริษัทผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าตอบสนองตลาดได้ทัน

    เห็นได้ชัดเลยว่า ชาวอเมริกันกำลังติดอาวุธตัวเองกันยกใหญ่

    15) เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธหน้าใหม่ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดถึง 100 กลุ่ม ส่วนจำนวนสมาชิกในสังกัดนั้น มีมากกว่าอีกเป็น 2 เท่า ทางการเป็นกังวลกับปรากฎการณ์นี้มาก เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า "การที่ทุกอย่างย่ำแย่ลงเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มติดอาวุธ อีกไม่นานหรอกเราจะได้เห็นความรุนแรงและการคุมคามไปทั่ว"

    สรุปได้แล้วว่า ขณะนี้สหรัฐมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่เงินขาดมือและต้องการเงิน มากไม่มีประกันสุขภาพและไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าหมอหรือขอความช่วยเหลือ จากหน่วยงานใด ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งมีคนรัก ที่เจ็บป่วยใกล้ตาย แต่ไม่ได้รับการรักษา หรือไม่ก็ตายไปแล้วเรียบร้อย

    ขณะที่ประชาชนอีก 1 % ซึ่งเป็นคนรวยกลับมีความสุขจากวิกฤตครั้งนี้ ทั้งที่คนอีกหลายล้านทั้งจน หมดตัว กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด อยู่อยากอดๆ อยากๆ และติดอาวุธ แน่ใจได้เลยว่าเรากำลังจะได้เป็นพยานรู้เห็นความแตกสลายของสังคมสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า !!


    ที่มา: Matichon Online
     
    Related Posts with Thumbnails